ถ้าเราไปเดินในห้างสรรพสินค้าตอนนี้อาจจะเห็นหลายห้างมีขายแป้ง "กลูเตนฟรี" (gluten free)ที่คงทำให้หลายคนที่ไม่รู้จักสงสัยแล้วก็อาจจะตกใจโดยเฉพาะในเรื่องราคาที่สูงลิบลิ่วเกินหลักร้อยไปมากแล้วแต่ประเภทและแหล่งกำเนิดที่มา จะทำความเข้าใจกันก็ง่าย ๆ คือแป้งกลูเตนฟรีส่วนใหญ่คือแป้งที่ผ่านกระบวนการผลิตเอาสารกลูเตนที่มีอยู่ในแป้งออก ซึ่งสารกลูเตนนี้จะมีอยู่เฉพาะในข้าวสาลี ข้าวบาร์เล่ย์ หรือในข้าวโพด ซึ่งมันก็คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่อยู่ในแป้งให้คุณสมบัติเหนียวขึ้นรูปเมื่อเอามาทำขนมอบชนิดต่าง ๆ ซึ่งในความเป็นจริงหากคนที่ไม่มีอาการแพ้การกินกลูเตนก็ไม่ได้ส่งผลร้ายใด ๆ ให้ร่างกายเลย การซื้อหาแป้งที่ไม่มีกลูเตนจึงเป็นการสิ้นเปลืองโดยใช้เหตุ
อย่างไรก็ดีตอนนี้มีการส่งเสริมจากภาครัฐกับหลายองค์กรพยายามผลักดันให้เราลดการนำเข้าและใช้วัตถุดิบแป้งที่ผลิตเองในประเทศโดยมองหาวัตถุดิบที่มีมากในเมืองไทย แป้งกล้วยน้ำว้าจึงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เรานำมาใช้ทดแทนแป้งสาลีในการทำขนมอบบางชนิดได้ดี เช่น มัฟฟิน หรือคุกกี้แผ่น ซึ่งนอกจากจะลดต้นทุนการผลิตเนื่องจากแป้งกล้วยสามารถทำเองได้ภายในครัวเรือน นอกจากจะปลอดภัยและประหยัดแล้วเรายังได้ประโยชน์มากมายจากสารที่มีคุณประโยชน์ในกล้วยเช่นแคลเซียม เหล็ก โปรแตสเซียม ซึ่งพบว่ามีมากกว่าในแป้งสาลี หรือแป้งข้าวโพดทั่วไป
หลักง่าย ๆ ในการใช้แป้งกล้วยแทนแป้งสาลีในขนมอบก็คือ
- ใช้แป้งกล้วยประมาณ 1/2 - 3/4 ถ้วยทดแทนแป้งสาลี(หรือแป้งที่มีกลูเตน) อื่น ๆ 1 ถ้วย
- กะประมาณใช้เวลาในการอบให้น้อยกว่าสูตรที่กำหนดมา โดยอาจเริ่มจากครึ่งหนึ่งแล้วค่อย ๆ เช็คขนมอบทุก ๆ 5 -8 นาที
- กะดูความเหนียวข้นของส่วนผสมให้เหมือนกับสูตรที่เคยใช้แป้งประเภทเดิม
- ขนมอบจากแป้งกล้วยส่วนใหญ่จะอร่อยที่สุดเมื่อเสริฟอุ่น ๆ (เย็นแล้วอาจทำให้รวน)
วันนี้เราก็ทดลองเอาสูตรมัฟฟินลูกเกดแป้งกล้วยน้ำว้ามาเผื่อใครที่สนใจจะลองทำดู
แป้งกล้วยน้ำว้า 1 ถ้วย
ผงฟู 1 ชช
โซดาไบคาร์บ 1 ชช
เกลือ 1/2 ชช
ลูกเกด 1/2 ถ้วย
ข้าวโอ๊ด 1/2 ถ้วย
เนยละลาย 1/3 ถ้วย
น้ำตาล 1/2 ถ้วย
ไข่ไก่ 1 ฟอง
นมสด 1/4 ถ้วย
กลิ้นวนิลา 1 ชช
ผสมส่วนผสมแห้งทั้งหมดในชามผสมคนให้เข้ากันพักไว้ แล้วตีไข่กับน้ำตาลและเนยในเข้ากันใส่วนิลา แล้วนำส่วนผสมแห้งลงคนให้เข้ากัน ใส่นมและลูกเกด ตักใส่พิมพ์มัฟฟิน (ตามสูตรนี้ได้ 12 ชิ้น) แล้วนำเข้าเตาอบที่ 180องศา นานประมาณ 20 -30 นาที เช็คว่าสุกโดยเสียบไม้แล้วไม่มีส่วนผสมเปียกติดออกมา
ก็ลองทำทานกันดูนะคะ
แหล่งข้องมูล:
http://decade1.ird.rmutp.ac.th
http://www.naturallivingideas.com/banana-flour/
http://www.chutamas.info/?p=1212